Music Competition and young kids

Bela Bartok กล่าวไว้ว่า Competitions are for horses, not artists

เดี๋ยวนี้เวทีแข่งขันดนตรีมีเยอะมากๆ (ยิ่งออนไลน์ยิ่งเยอะไปอีก) ผู้ปกครองหลายท่านก็มักจะมีคำถามว่า

ครูคะ แม่ให้น้องเค้าลองแข่งดีมั้ย อยากให้มีประสบการณ์

แต่กลัวลูกจะกดดัน ไม่อยาก force เค้ามากไปค่ะ 

คำถามเกี่ยวกับการแข่งขันดนตรี (โดยเฉพาะในเด็กเล็ก) เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจมากๆๆ ว่าสุดท้ายแล้วเราควรสนับสนุนหรือไม่ 

บทความที่จะเขียนต่อไปนี้ อ้างอิงถึงมุมมองส่วนตัว จากการเป็นเด็กแข่งเองตั้งแต่ 6 ขวบ และส่งนร.แข่งมา 13 ปี ทั้งนี้ก็ยังไม่เคยได้เป็นผู้ปกครองที่ส่งลูกแข่ง หากในอนาคตมีลูกไปแข่ง อาจจะคิดใหม่หรือเปลี่ยนใจก็เป็นได้ 555

ก่อนอื่น ขอสรุปสำหรับคนไม่สะดวกอ่านยาวๆ ว่า

เหรียญมีสองด้าน ดาบมีสองคมฉันใด - การแข่งขันก็มีทั้งคุณและโทษฉันนั้น 

เวทีแข่งขันเป็นเหมือน tool ชิ้นหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าจะหยิบไปใช้ยังไงมากกว่า


มีด 1 เล่ม

ใช้ป้องกันตัวก็ได้ ปอกผลไม้ก็ดี หรือใช้ทำร้ายคนอื่นก็ได้ ใช้ทำร้ายตัวเองก็ได้

ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ยังไง คนรอบตัวโดยเฉพาะครอบครัวเรามีมุมมองเรื่องนี้ยังไง

สามารถควบคุมจัดการตัวเองได้ดีแค่ไหน ถ้าเราไม่สามารถจัดการได้ เราอาจจะเผลอใช้มีดเล่มนี้ทำร้ายตัวเอง ก็อาจจะไม่ควรใช้

แต่ถ้าเราควบคุมได้ดี พกมีดเล่มนี้ไว้ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหาย อาจจะมีประโยชน์ขึ้นมาในวันที่เราต้องใช้มันปอกอะไรกินหรือป้องกันตัวจริงๆใครจะไปรู้ 

โดยส่วนตัวยังเชื่อว่า healthy competition ยังสร้างได้ มีประโยชน์

โดยแบ่งออกเป็นสองประเด็นหลักๆ คือ ปัญหาก่อนแข่ง และปัญหาหลังแข่งค่ะ

แข่งแล้วเดี๋ยวเครียด? 

ปัญหาประเด็นแแรก ในช่วงก่อนแข่ง

เคยมีนักเรียนมัธยมต้นถามว่าครูซ้อมเปียโนเครียดไหมคะ 

ใช้เวลาเสี้ยววิประมวลคำตอบ แล้วบอกไปว่า

ถ้าเราอยากทำอะไรให้ดี มันก็เครียดทั้งนั้นแหละ ระหว่างทำโจทย์เลข กับเล่นเปียโนอะไรดูเครียดกว่า

(คนส่วนใหญ่ที่เรียนเปียโน ก็คงตอบโจทย์เลข)

แต่ถ้าครูบอกว่าให้ทำโจทย์เลข 10 ข้อ ผิดกี่ข้อก็ได้ ครูไม่ว่าเลย กับให้เล่นเปียโนห้ามผิดเลยแม้แต่ตัวเดียว หนูว่าอะไรเครียดกว่า? ​

(แน่นอน ตอบเปียโน) 

อะไรที่เราให้ความสำคัญ อยากทำให้ได้ดี มันก็เครียดทั้งนั้น

คนเรา แค่จะนัดกินข้าวกับแฟนยังเครียดได้เลย จะกินอะไร ร้านไหน อร่อยไหม บรรยากาศดีรึป่าว 

ดังนั้น ไม่ว่าจะแข่งหรือไม่ หากเรามีความตั้งใจอยากทำให้ดี มันก็เครียดหมด

สมมติลงแข่งแต่รู้สึกว่า ไม่ต้องได้รางวัลก็ได้ ขอแค่เล่นเพลงที่ชอบจบเพลงเรียบร้อย ได้ใส่ชุดสวยหล่อขึ้นเวที ก็ happy แล้ว อันนี้ก็คงจะไม่เครียดเลย ในทางกลับกันบางคนไม่แข่ง เรียนเล่นๆ แต่เดี๋ยวก็มีลูกพี่ลูกน้อง อายุใกล้กัน เล่นเพลงเดียวกัน เล่นได้เร็วกว่า เกิดการเปรียบเทียบในครอบครัว ทำไมเขาเล่นเร็วกว่าดูเก่งกว่า (อันนี้จริงๆ เล่นเร็วกว่าไม่ได้แปลว่าเก่งกว่านะคะ) แต่กรณีนี้เด็กก็เครียดแล้วโดยไม่ต้องแข่ง

ทั้งนี้ไม่นับปัจจัยเรื่องความกดดันการเตรียมตัว หรือระยะเวลาที่มีจำกัดในการฝึกเพลง เพราะนั่นเป็นประเด็นของการเตรียมความพร้อมในการแข่ง ที่จัดสรรได้อยู่ดี เช่น เลือกรายการที่มีเพลงที่เราฝึกอยู่แล้วและช่วงเวลาเหมาะสม เป็นต้น

แพ้ไม่เป็น

ปัญหาหลังแข่ง

เพราะคนชนะไม่ค่อยมีปัญหาหรอก แต่คนแพ้นี่สิเราจะทำยังไงดี

ไอเดียแบบโลกค่อนข้างสวย ว่าการแข่งขันคือการแข่งกับตัวเองนั้นก็ไม่ผิด และโดยอุดมคติ มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น
แต่ในโลกความเป็นจริง มนุษย์เป็นสัตว์สังคมและเกิดการเปรียบเทียบตลอดเวลาไม่ว่าจะลงแข่งหรือไม่ เราอยู่ของเราดีๆ เฉยๆ ป้าข้างบ้านยังมาถามเลย เป็นไง สอบติดอะไร 555 สิ่งที่เราทำได้ คือ เลือกที่จะให้ความสำคัญ-ให้คุณค่ากับการเปรียบเทียบนั้นหรือไม่

ในมุมของพ่อแม่... 

ช่วงเวลาที่เราแข่งมา แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราจะชนะทุกครั้ง

สิ่งที่พ่อและแม่ทำ คือจะไม่เปรียบเทียบกับคนที่ชนะเลย 

คนแข่งเป็นร้อย เป็นพัน คนชนะมีแค่คนเดียว ดังนั้นแพ้เป็นเรื่องธรรมดาค่ะ 

แพ้ คือแพ้ ยอมรับความจริง ไม่มีสิทธิ์โวยวาย 

“ลูกเล่นดีกว่าคนที่ชนะอีก ทำไมเราถึงแพ้ การตัดสินไม่ยุติธรรมรึป่าว” 

อันนี้เป็นประโยคต้องห้ามในบ้านเราเลย เพราะพ่อบอกแม่ว่า เรื่องแค่นี้ถ้าพ่อแม่ไม่สามารถยอมรับความผิดพลาดของลูกได้ ในอนาคตโตๆไป มีเรื่องใหญ่กว่านี้มากมาย เช่น สอบเข้ามหาลัย หรือเรื่องอื่นๆ ลูกคงไม่กล้าบอกและอาจจะโทษตัวเอง หรือทำอะไรที่อันตรายได้ 

พ่อบอกเสมอว่า ถ้าเราเล่นดีมากพอที่จะชนะทุกคนขาด ไม่ว่าการแข่งนั้นจะมีนอกมีในหรือไม่ ด้วยเกียรติของกรรมการและผู้จัด เค้าก็ต้องยอมให้ฝีมือเราดังนั้นถ้าเรารู้สึกว่าเราเล่นดี แล้วโดนโกง นั่นแปลว่าเรายังไม่ชนะขาดพอ ก็กลับไปซ้อมมาใหม่ อย่าไปโทษคนอื่น ชีวิตคนเราทั้งเรื่องการแข่ง และเรื่องอื่นๆ มีปัจจัยอะไรที่อยู่เหนือการควบคุมของเราอีกมากมายค่ะ 

ดังนั้น สิ่งที่แก้ไขได้คือปรับที่ตัวเรา กลับไปฝึกให้เก่งขึ้นแค่นั้นเอง 


ถ้าครอบครัวไหนพร้อมจะลุยไปกับลูก การแข่งขันสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกคุณได้

แต่ถ้ารู้สึกว่ายังไม่แน่ใจว่าจะจัดการได้ไหม ก็ยังไม่ต้องแข่งอาจจะดีกว่า

เลือกที่เหมาะกับบ้านเรา ไม่มีผิด ไม่มีถูกค่ะ

ในมุมของครู...

พยายามปลูกฝังให้เด็กและผู้ปกครอง realistic อยู่กับความจริง ทั้งในแง่การตั้งความคาดหวัง (expectation) และการยอมรับผล (consequence)

เวลาที่ชนะ

จงยินดีและอย่ายึดติด การแข่งขันคือการตัดสินในช่วงไม่กี่นาที

เราจะบอกนักเรียนเสมอว่า ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร กรรมการเห็นหนูเล่นแค่ไม่กี่นาที

คนที่รู้ดีที่สุดว่าหนูพัฒนาเก่งขึ้นแค่ไหน คือตัวหนูเอง ครอบครัว ที่เห็นหนูซ้อมมาตั้งแต่ day 0 และครู ที่เห็นหนูพยายามมาโดยตลอด

บนเวทีแข่งขัน เราทำเต็มที่ แต่คนอื่นก็ทำเต็มที่เหมือนกัน เราซ้อมหนัก คนอื่นก็ซ้อมหนักเช่นกัน

“การที่เราชนะไม่ได้แปลว่าเราเก่งกว่าเขาเลย แค่เพราะวันนี้เราทำได้ดีกว่าก็เท่านั้นเอง”

Tips เล็กๆ ที่เป็นรูปธรรมและทำได้ คือฝึกให้นักเรียนให้คะแนนตัวเองทุกรอบหลังซ้อม 

อาจจะจดบันทึกไว้ง่ายๆ ว่าวันนี้ให้ตัวเองกี่ดาว ครูให้กี่ดาว คุณพ่อคุณแม่ให้กี่ดาว

เพื่อให้เด็กๆเห็นว่า ระหว่างช่วงที่เราเตรียมตัว มันก็มีวันที่เล่นได้ดี และวันที่เล่นไม่ดีเป็นเรื่องปกติ

ดังนั้น วันที่ขึ้นไปแข่งก็เป็นอีกแค่ 1 วัน ที่ถ้าเราจะเล่นได้ไม่ดี ก็ไม่ได้เป็นแปลว่าโลกแตก มันเป็นแค่หนึ่งวันที่จะผ่านไปในชีวิต

แค่พยายามให้เต็มที่ก็พอ

สุดท้ายนี้

ขอให้ทุกคนสนุกกับการแข่งขัน และหวังว่าจะข่วยให้หลายๆบ้าน เข้าใจ healthy competition ไม่มากก็น้อยค่ะ :) 

Previous
Previous

ไม่ชอบอ่านโน้ตทำยังไงดี?

Next
Next

Sibling rivalry พี่น้อง(ไม่)แข่งกัน