เด็กควรเรียน หรือ เล่น?
“วางนิ้วสวยๆ กดเบาๆสิลูก ใครเค้าตีกันแบบนี้”
“ถ้าหนูไม่เล่นดีๆ แม่ไม่ซื้อเปียโนให้นะ”
วันก่อนเดินผ่านโชว์รูมเปียโน เจอคุณแม่พาลูกวัย 2-3 ขวบมาเลือกเปียโนไฟฟ้า เด็กน้อยจิ้มเปียโนเสียงสูงต่ำอย่างเพลิดเพลิน (น้องก็จิ้มมั่วๆ แต่ก็ไม่ได้ทุบตีรุนแรงแบบที่ทำให้เปียโนเสียหาย) ดูทรงแล้วยังเล่นไม่เป็นหรอก ทันใดนั้นคุณแม่ก็พูดขึ้นว่า
”ทำมือสวยๆ กดเบาๆดีๆหน่อยสิ ไม่งั้นแม่ไม่ซื้อให้นะ ใครเค้าเล่นกันแบบนี้” เด็กน้อยจ๋อย หยุดเล่นทันที
เรื่องหนึ่งที่พวกเราหลายคน มักเข้าใจผิด (หรือมองข้ามไป) คือการบอกให้เด็กต้องตั้งใจทำนั่นทำนี่ ต้องทำให้ถูก ถ้าไม่ถูกไม่ให้ทำ และนั่นรวมถึงการเล่นเครื่องดนตรี
ถ้าพูดในแง่การศึกษา ที่จริงแล้วไม่ว่าจะ method ใดๆในโลก แนวญี่ปุ่น หรือแนวฝรั่ง ย่อมบอกว่า
การเรียนรู้ที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง คือการเล่นให้สนุก ลองผิดลองถูกไปตามวัย
ยกตัวอย่าง การศึกษาระบบ Montessori - ถ้ามองแบบง่ายๆบ้านๆ โรงเรียนมอสเตสจะมีพร็อบเยอะมาก อุปกรณ์ สื่อการสอนเยอะไปหมด เพราะหัวใจหลักอันหนึ่งของการศึกษาระบบมอนเตส คือการให้เด็กได้ลงมือทำเอง หยิบจับ ทำเจ๊งไม่เป็นไร ลองทำใหม่
เราอาจจะมีคำถามว่าทำไมถึงให้เด็กถือแก้วที่หล่นแตกได้ตั้งแต่ตัวเล็กๆ ไม่กลัวทำแตกเหรอ
คำตอบคือไม่กลัว แตกก็แตก ไม่เป็นไร ของมันแตกได้เป็นเรื่องปกติ แต่ครูก็จะสอนวิธีเก็บกวาด และจะได้เรียนรู้ว่าครั้งหน้าต้องระวังมากขึ้น
โรงเรียนแบบวอลดอร์ฟ ชัดเจนเรื่องเรียนผ่านเล่น เพราะมีไอเดียว่า จินตนาการก็คือการเรียนรู้อย่างหนึ่ง โรงเรียนพวกนี้ก็จะเน้นกิจกรรมเยอะๆ ให้เด็กๆได้เรียนผ่านการคิดตาม คิดต่อยอดและฝึกจินตนาการนั่นเอง
มาทางดนตรีบ้าง ขอยกตัวอย่างอันที่ top hit ในอังกฤษหน่อยก็น่าจะเป็น Dalcroze มีหลักที่เรียกว่า “Eurhythmic” คือให้เด็กตั้งใจฟังเสียง แล้ว reaction อีกที เช่น ฟังแล้วร้อง ฟังแล้วเล่น ฟังแล้วเต้น จนเก่งพอก็เริ่มอ่านเขียนโน้ต และไปทำ improvisation คือการเล่นสดๆทันที โดย improvisation นี่แหละก็คือการแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ ไม่มีผิด ไม่มีถูก
สำหรับตัวอย่างแนวคิดฝั่งเอเชียบ้านเรา ก็มีพวกญี่ปุ่นเช่น Yamaha Method ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าแก่นคอนเซ็ปเดียวกันกับ Dalcroze เลย เพียงแต่มีการปรับรูปแบบ หรือวิธีการให้มันสันทัดมากขึ้นกับวัฒนธรรมแวดล้อมแบบเอเชียๆ รวมไปถึงการเชื่อว่าทุกคนมีความสามารถด้านดนตรีในตัว มีแต่คนที่ยังหาวิธีแสดงออกไม่เจอมากกว่า
นอกจากนั้น ความอึดถึกทนแบบญี่ปุ่นเขาก็จะเชื่อเรื่องการทำซ้ำ ผิดไม่เป็นไร ทำใหม่ ทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวดีเอง (เห็นภาพซามูไรฝึกฝีดาบข้ามวันข้ามคืน)
ส่วนตัวเคยมีโอกาสไปนั่งฟัง seminar ในงาน Music Education Expo ที่ลอนดอน วิทยากรเปิดการสัมมนาด้วยคำถามว่า
“คุณคิดว่าเด็กชอบอะไร?”
คำตอบแรกๆในใจทุกคนคงหนีไม่พ้น ของเล่น การ์ตูน เกมส์
ดังนั้นหลักการมันง่ายมาก เราแค่ต้องทำให้เด็กรู้สึกว่า เครื่องดนตรี คือของเล่น หรือ best friend ที่เค้าอยากเล่นยังไงก็ได้ แต่เล่นแล้วต้องสนุก ครูและพ่อแม่ มีหน้าที่เพียงแนะนำวิธีการใช้ที่ถูกต้องและไม่เป็นอันตราย
พอเด็ก เกิด comfort zone กับเครื่องดนตรี เค้าก็จะสบายใจ อยากจะเข้าหา อยากจะไปเล่นบ่อยๆ อยากจะซ้อม อยากจะลองทำนั่นทำนี่
ทีนี้ถึงคราวโอกาสทองละ เหมือนซื้อใจได้แล้ว ครูและพ่อแม่ก็จะค่อยๆสอนวิธีการเล่นต่างๆ แนะนำว่าแบบนี้เพราะกว่ามั้ย หนูชอบมั้ย ครูว่ามันเพราะดีนะ หรือถ้าหนูทำนิ้วแบบนี้หนูจะเล่นได้เร็วขึ้นด้วยนะ อะไรก็ว่ากันไป
อย่าปล่อยให้ "ความถูกต้อง" มันมาปิดกั้น "จินตนาการ" ดีกว่า
ปี 2020 แล้ว นักดนตรีไม่ได้มีแค่ Mozart Beethoven ใครจะไปรู้ลูกคุณอาจจะเป็น Schoenberg หรือ Hindemith ก็ได้ - ใครไม่รู้จักอยากให้ลองหาฟังดู อาจจะแปร่งๆหน่อยสำหรับบางคน แต่จริงๆ เขาเทพไม่แพ้นักดนตรียุคคลาสสิกเลย