ให้ลูกเริ่มเรียนดนตรีเมื่อไหร่ดี?
ก่อนอื่น ขอให้แยกแยะระหว่าง “ดนตรีพื้นฐานสำหรับเด็กเล็ก” กับ “การเรียนเครื่องดนตรีต่างๆ (เช่น เปียโน ไวโอลิน)”
ดนตรีพื้นฐานสำหรับเด็กเล็ก
ส่วนมากนิยมสอนเป็นกลุ่ม เน้นสร้างความคุ้นเคยด้านจังหวะ ระดับเสียง เช่น ร้อง เล่น เต้น เพื่อเป็นพื้นฐานที่จะเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต ทั้งด้านการเล่นเครื่องดนตรี และด้านอื่นๆ เช่น การเรียนรู้ภาษา ในสายตาคนทั่วไปอาจจะดูเหมือนเรียนๆเล่นๆไม่ค่อยได้อะไร แต่จริงๆมันมีอะไรแอบแฝงอยู่เยอะแหละ
ดนตรีพื้นฐานสำหรับเด็กเล็ก เริ่มเรียนได้เมื่อ ”คุณพ่อคุณแม่พร้อม” มีหลายสถาบันที่เปิดสอนในหลักสูตรที่เขาออกแบบมาสำหรับแต่ละช่วงวัย บางที่มีตั้งแต่ 1 ขวบ บางที่ 2-3 ขวบ แต่จริงๆ พ่อแม่ก็เริ่มสอนลูกมาตั้งแต่คลอดลูกออกมาแล้ว บางคนสอนลูกตั้งแต่ยังไม่คลอดเลย
การเรียนเครื่องดนตรีต่างๆ
คือการเรียนเพื่อหัดเล่นเครื่องดนตรีใดเครื่องดนตรีหนึ่ง เพื่อพัฒนาทักษะด้านการเล่น ควบคู่ไปกับทักษะอื่นๆที่เกี่ยวข้อง (แล้วแต่หลักสูตรที่ครูสอน แต่โดยทั่วไปก็จะสอดแทรกทฤษฎีดนตรี / ความรู้ทั่วไปด้านดนตรีไปด้วย) เรียกง่ายๆ ก็คือมาเรียนเพื่อให้เล่นเครื่องดนตรีเป็น
หากถามว่าแล้วมีแบบกึ่งๆผสมๆไหม มีแน่นอน แนะนำให้ปรึกษาครูผู้สอนโดยส่วนมากก็จะ based on การสอนเปียโนนี่แหละ แต่อาจจะปนๆกิจกรรมอื่นๆไปด้วยให้เหมาะสมกับวัย
การเรียนเครื่องดนตรีต่างๆ สามารถเริ่มเรียน “เมื่อลูกพร้อม” เพราะเครื่องดนตรีแต่ละชนิด ต้องอาศัยทักษะต่างกัน เครื่องดีดสีตีเป่า ใช้ความแข็งแรงของอวัยวะต่างๆไม่เหมือนกัน และเด็กทุกคนก็โตเร็ว โตช้า ไม่เท่ากัน ดังนั้น ทางที่ดีที่สุด ก็คือพาไปทดลองเรียนกับคุณครูซัก 15-30 นาที ก็น่าจะพอบอกได้แล้วว่าน้องพร้อมเรียนรึยัง
“ดนตรีพื้นฐานสำหรับเด็กเล็ก” สำคัญแค่ไหน ต้องเรียนไหม
ขอกลับมาที่เรื่องนี้อีกรอบ อาจารย์ Adam Ockelford ผู้วิจัยแนวคิด Sound of Intent บอกว่า
Music is not the icing on the top of the cake, it is an essential ingredient.
แปลเป็นไทยว่า ดนตรีไม่ได้เป็นแค่น้ำตาลโรยหน้าเค้ก แต่เป็นส่วมผสมที่สำคัญต่างหาก
ดนตรีคืออาหารสมอง ที่สามารถใช้กระตุ้นพัฒนาการของเด็กได้ง่ายที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะดนตรี = การฟัง ถ้าลูกไม่อยากหัดอ่าน abc ลูกหลับตาได้ แต่ลูกเอามืออุดหูไม่ฟังเพลง abc ไม่ได้ และในทางเดียวกัน การเรียนรู้ต่างๆโดยเฉพาะภาษา ก็เริ่มต้นจากการฟังทั้งนั้น
พ่อแม่ทุกคน สอนดนตรีลูกตั้งแต่คลอดมาแล้วแต่ไม่รู้ตัว
อันนี้น่าสนใจมาก คุณแม่ทั่วทุกมุมโลก มีเพลงที่ใช้ร้องกล่อมลูก จะร้องเพลงพื้นบ้าน หรือแต่งเองก็ตาม หรือแม้แต่น้ำเสียง ที่แม่เล่นกับลูก ก็จะเป็นเสียงสูงต่ำทีหลากหลาย (ไม่ใช่เสียงพูดปกติ) ซึ่งเรื่องพวกนี้ไม่มีใครสอน เป็นโดยสัญชาตญาณความเป็นแม่ล้วนๆ นี่คือการสอนดนตรีลูกในเรื่องระดับเสียง และจังหวะโดยที่เราไม่รู้ตัว
อาจารย์ Ockelford เปรียบเทียบกับการพาลูกเข้าเตรียมอนุบาล ว่าเป็นสิ่งที่ no right or wrong answer คือไม่มีถูกไม่มีผิด จะว่าจำเป็น ก็จำเป็น ไม่จำเป็นก็ไม่จำเป็น (แต่ละบ้านไม่เหมือนกัน)
บางบ้านพ่อแม่มีเวลาสอนลูกอ่าน abc เอง มีเวลาเล่นกับลูก พาลูกไปโบถส์ ไปสวนสาธารณะ ได้เจอผู้คนทุกอาทิตย์ โรงเรียนเตรียมอนุบาล (Nursery) ก็อาจจะไม่จำเป็นสำหรับเขา แต่บางครอบครัวอาจจะไม่ถนัด การส่งไปโรงเรียนก็อาจจะสะดวกมากกว่า
ดังนั้นกลับมาที่เรื่องดนตรีก็เช่นเดียวกัน ถ้าแม่คิดว่าแม่สามารถเติมเต็มส่วนนี้ให้ลูกได้ ก็ไม่ต้องพาไปเรียน สามารถรอจนถึงเลเวลที่แม่สอนไม่ได้ก็ค่อยพาไปเรียน เหมือนพาลูกไปเข้าอนุบาล หรือเข้า ป.1 นั่นเอง
Sound of Intent
แบ่งการเรียนรู้ของเด็กเล็กไว้คร่าวๆ 6 ระดับ (หากสนใจศึกษาเพิ่มเติมได้ทาง http://soundsofintent.org )
Before hearing start to work
ตอนยังอยู่ในท้องแม่ อาจจะมีการตอบโต้บ้าง ถีบท้องแม่เวลาพ่อมาพูดใกล้ๆSounds interesting
ช่วงที่เด็กมีความสนใจเสียงนู้นเสียงนี้ อาจจะยังพูดไม่ได้ แต่ได้ยินเสียงอาม่าจากด้านขวา ก็เหลียวตามอง ซักพักได้ยินเสียงอากง จากด้านซ้าย ก็เอียงคอมอง คือเริ่มสนใจเสียงต่างๆรอบตัว
สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ คือ เล่นเสียงกับลูก ใช้กระดิ่งกรุ๊งกริ๊ง หรือ ของเด็กเล่น โมบาย ที่มีเสียง ซึ่งโดยส่วนมากของเล่นเด็กวัยนี้ก็ชอบมีเสียงบิ๊บๆ ติดมาอยู่แล้วCopy me, Copy you
นอกจากสนใจเสียงต่างๆ ตอนนี้เด็กเริ่มตอบโต้ได้ เช่น เวลาแม่เล่น จ๊ะเอ๋ ลูกก็หัวเราะคิกๆแล้วก็เงียบ พอมีคนจ๊ะเอ๋อีกรอบ ก็คิกๆแล้วก็เงียบอีกรอบ เหมือนจะรอให้มีคนเอ๋อีกรอบ หรือถ้าเอากลองไปตีเป็นจังหวะง่ายๆ แล้วเขาก็จะเริ่มเลียนแบบ พยายามเข้ามาตีกลองตาม เช่น ตีสามที แล้วหยุด เด็กก็จะเข้ามาแย่งตีประมาณสามที แล้วหยุดเช่นกัน
สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ คือ เล่นกับลูกโดยให้ลูกทำตามด้วยแพทเทิร์นจังหวะง่ายๆ เริ่มให้เต้นตามได้นิดหน่อยBit of pieces
ในระดับนี้ เด็กเริ่มมีความสัมพันธ์กับดนตรีมากขึ้น อาจจะเริ่มร้องเพลงได้ (บางคนอาจจะยังพูดไม่ได้) โดยร้องได้เป็นช่วงๆ
ยกตัวอย่างเช่น เวลาร้องเพลง Happy birthday to “ยูวววววววว” Happy birthday to “ยูวววววววว”
เด็กเติมคำว่า ยูวววววว ได้เอง นั่นคือ เขาเริ่มเรียนรู้แล้ว ว่าต้องร้องในระดับเสียงไหน คำว่าอะไร มาในจังหวะไหน คล้ายๆกับว่าเติมคำในช่องว่างได้ ซึ่งดูเผินๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่ความจริงแล้วสมองเด็กกำลังพัฒนามาระดับนึงจึงสามารถร้องออกมาได้ถูกจังหวะ ถูกเนื้อ ถูกระดับเสียง พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม และชวนเล่นชวนร้องบ่อยๆ จะเป็นประโยชน์แก่การเรียนรู้ภาษาอย่างมากเลยทีเดียว ในช่วงนี้จริงๆเริ่มสอดแทรกเรื่องของดนตรีได้อีกเยอะเลยWhole song, in time and in tune
เริ่มเล่น หรือร้องเป็นเพลงได้ทั้งเพลงและถูกต้อง (ถูกต้องในที่นี้คือ โน้ตถูก จังหวะถูก แต่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดอารมณ์เพลง หรืออื่นๆมากมายนัก)
Musical maturity หลังจากเล่นได้แล้ว ก็เป็นเรื่องของความเข้าใจในดนตรีขั้นสูงต่อๆไป
ดังนั้นโดยส่วนมาก หลักสูตรเด็กเล็กตามสถาบันต่างๆ จะเริ่มต้นที่ประมาณ level 3 คือ copy me, copy you โดยอาจจะยังไม่ได้จับเครื่องดนตรีเลย เหมาะกับเด็กอายุช่วงประมาณ 1-2 ขวบ
สำหรับประมาณ 3-4 ขวบ จะตรงกับ level 4-5 ให้เริ่มจับเครื่องดนตรีบ้าง แต่ยังไม่ได้เล่นเป็นชิ้นเป็นอันนัก
สรุปว่าการเรียนดนตรีนั้น
เริ่มเรียนตอนกี่ขวบก็ได้ เมื่อพร้อม
ทั้งความพร้อมของพ่อแม่ในเรื่องค่าใช้จ่าย ความพร้อมของเวลาที่ต้องพาไปเรียน ตลอดจนความพร้อมของลูกเรา โดยไม่ควรเกินช่วง 4-5 ขวบ ซึ่งจะอยู่ใน level 4 (bit of pieces) เพราะน่าจะเริ่มเกินความสามารถที่พ่อแม่จะดูแลลูกได้เอง นอกเสียจากพ่อแม่เล่นดนตรีเป็น หรือเป็นครูดนตรีอยู่แล้ว
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ ขอให้ทุกคนเรียนดนตรีอย่างมีความสุขเมื่อพร้อมค่ะ :)